ต้นพระศรีมหาโพธิ์

แดนพุทธภูมิ (สี่สังเวชนียสถาน)

พุทธคยา

ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ณ สังเวชนียสถานที่ตรัสรู้ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งอยู่ติดกับพระพุทธเจดีย์พุทธคยาด้านทิศตะวันตก ปัจจุบันอยู่ในเขตการปกครองของตำบลพุทธคยา จังหวัดคยา รัฐพิหาร

ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ต้นปัจจุบัน ปลูกเมื่อ พศ.2423 มีอายุราว 135 ปี จากหน่อของต้นโพธิ์ต้นที่ 1 ลำต้นขนาด 3 คนโอบ สูงประมาณ 80 ฟุตหรือ 70 เมตร แผ่กิ่งก้านสาขาเป็นร่มโพธิ์ของชาวพุทธ ทางรัฐบาลอินเดียคอยดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ มีกำแพงล้อมรอบเป็นสัดส่วน โดยต้นพระศรีมหาโพธิ์ต้นนี้ ได้สืบหน่อมาจากต้นโพธิ์ต้นแรกในสมัยพุทธกาล โดยต้นพระศรีมหาโพธิ์ต้นแรกนั้นได้ถูกทำลายลง เพราะ พระเจ้าอโศกหมั่นเสด็จไปนมัสการต้นพระศรีมหาโพธิ์อยู่เป็นนิตย์ จนพระมเหสี พระนางติษยะรักษิตได้เกิดมีจิตริษยาต้นโพธิ์ จึงลอบให้คนไปทำร้ายต้นโพธิ์ ปีที่ต้นโพธิ์ถูกทำลายเป็นปีที่ 37 แห่งรัชกาลพระเจ้าอโศกมหาราช เมื่อพระองค์ทรงทราบ ก็โทมนัส ถึงกับพระประชวร ทรงตั้งอธิษฐานไว้ให้หน่อโพธิ์งอกงามขึ้นมาใหม่ ด้วยสัตย์อธิษฐานของพระเจ้าอโศกมหาราช ต้นพระศรีมหาโพธิ์ก็เจริญเติบโตจากต้นที่ 1 โดยลำดับ จนกระทั่งถึง พ.ศ. 1100 พระเจ้าศศางกา กษัตริย์จากแคว้นเบงกอล ไม่พอใจที่เห็นพระพุทธศาสนามาตั้งแข่งขันกันที่นี่ จึงรับสั่งให้ทำลายวัดวาอารามและต้นโพธิ์ตรัสรู้เสีย แม้ถูกทำลายขนาดขุดปลายรากแก้วทิ้ง ก็ยังเหลือหน่อติดดินอยู่ ต้นพระศรีมหาโพธิ์จึงไม่สูญพันธ์ไป หลังจากทำลายต้นพระศรีมหาโพธิ์แล้วพระเจ้าศศางกาก็สิ้นพระชนม์อย่างอนาถ รวมอายุต้นโพธิ์ต้นที่ 2 ได้ 871 ปี

ต่อมาสมัยในพระเจ้าปูรณะวรมัน กษัตริย์องค์สุดท้ายในราชวงศ์ของพระเจ้าอโศกมหาราช ที่ครองแคว้นมคธ ทรงโศกเศร้าพระทัยที่ต้นโพธิ์ถูกทำลาย จึงจัดการบำรุงรากต้นโพธิ์โดยใช้น้ำนมแม่วัว 1000 ตัวรดให้ชุ่มอยู่เสมอ ในไม่ช้าหน่อโพธิ์ก็แตกจากรากเดิม พระเจ้าปูรณะวรมันพยายามประคับประคองอย่างดีที่สุด พระถังซัมจั๋งมาถึงที่นี่ ได้บันทึกสดุดีพระเจ้าปูรณะวรมันไว้ว่า เป็นผู้ที่ได้ทำคุณประโยชน์แก่พระพุทธศาสนาในการที่ได้กู้ชีวิตต้นพระศรีมหาโพธิ์กลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง นับว่าต้นโพธิ์ตรัสรู้ถูกทำลายถึง 3 ครั้ง ต้นโพธิ์ตรัสรู้ต้นที่ 3 หมดอายุขัยเองตามธรรมชาติ ต้นพระศรีมหาโพธิ์ต้นที่ 4 งอกขึ้นมาใหม่เมื่อปีพศ. 2423 รัฐบาลอังกฤษ ซึ่งปกครองอินเดียในเวลานั้น ได้มอบหมายให้เซอร์ อเล็กซานเดอร์ คันนิ่งแฮม บูรณสถานที่แห่งนี้ ระหว่างนั้นต้นพระศรีมหาโพธิ์ล้มลงอีก ในบันทึกกล่าวว่า เวลานั้นชาวบ้านกำลังตัดกิ่งและรากไม้ไปทำเชื้อฟืน เซอร์อเล็กซานเดอร์ได้พบหน่อโพธิ์ 2 หน่อ สูงประมาณ 6 นิ้ว และ 4 นิ้ว จึงเลือกเอาต้นใหญ่กว่าปลูกลงที่เดิม ต้นเล็กปลูกลงทางทิศเหนือ ห่างจากต้นเดิม 250 ฟุต 


ต้นพระศรีมหาโพธิ์เป็นต้นไม้คู่บารมี หรือเป็นสหชาติของพระพุทธเจ้า เกิดขึ้นในวันเพ็ญเดือนหก ก่อนพุทธศักราช 80 ปี วันเดียวกับที่พระพุทธเจ้าประสูติ ในวันเดียวกันนี้ มีสิ่งที่เกิดพร้อมกัน 7 อย่างเป็นสหชาติ ของพระพุทธองค์ คือ
1.พระนางยโสธรา พรือนางพิมพา
 2.พระอานนท์
 3.อำมาตย์กาฬุทายี
 4.นายฉันนะ 
5.ม้ากัณฐกะ
 6.ต้นพระศรีมหาโพธิ์
 และ7.ขุมทรัพย์ทั้ง 4

ความสำคัญของสังเวชนียสถานแดนอินเดีย โดยเฉพาะที่ต้นพระศรีมหาโพธิ์นี้ มีความสำคัญยิ่งต่อชาวพุทธ ในอดีตพบว่ามีพระเถระผู้ใหญ่จากเมืองไทย จาริกมาศึกษาธรรมที่นี่หลายท่าน โดยในปีพศ. 2498 ท่านพุทธทาสภิกขุ ได้จาริกมายังแดนพุทธภูมิท่านได้เขียนไว้ใน “บันทึกไปอินเดีย" เมื่อเดินทางมาถึงโพธิมณฑลแห่งนี้ว่า 
“ต้นโพธิ์มีความใหญ่โตพอสมกับที่เพิ่งปลูกเมื่อราว 80 ปีมานี้ ต้นเดิมนัยว่าถูกทำลายเสียอย่างน้อย 2 ครั้งมาแล้ว เมื่อฝรั่งที่ทำการขุดค้นเมื่อปี คศ 1870 มาเห็น ก็มีต้นที่กำลังล้ม เขาได้ช่วยเอาหน่อปลูกใหม่ใหม่ คือต้นปัจจุบันนี้" เมื่อได้เห็นต้นพระศรีมหาโพธิ์ ท่านพุทธทาสภิกขุ ได้มีความรู้สึกในใจอย่างซาบซึ้ง ดังที่ท่านได้บันทึกไว้ว่า “นับว่าเป็นความแปลกประหลาดอยู่ ที่เรามีความรู้สึกอะไรจริงจังขึ้นมา ในเมื่อได้เข้าไปสู่สถานที่นี้ หรือนับแต่ได้เข้ามาสู่เขตคยานี้ ต้นโพธิอีกต้นหนึ่งนี้ ควรจะเป็นสิ่งที่ประจำใจอยู่ตลอดเวลาและตลอดอนันตกาลของเราด้วยอีกเหมือนกัน”

คำว่าต้นพระศรีมหาโพธิ์นั้น คือ ต้นไม้อะไรก็แล้วแต่ถ้าพระมหาบุรุษ หรือผู้ที่ยิ่งใหญ่ไปนั่งประทับแล้วได้ตรัสรู้ ต้นไม้นั้นจะต้องเรียกว่าโพธิ คือต้นไม้ที่ไปนั่งแล้ว สามารถทำโพธิญาณปัญญาที่รู้แจ้งแทงตลอดความจริงให้เกิดขึ้นได้ จึงเรียกว่า "ต้นพระศรีมหาโพธิ์" การได้ไปกราบไหว้บูชาต้นพระศรีมหาโพธิ์ ควรรำลึกว่า ต้นโพธิ์นี้ เป็นที่ที่พระมหาบุรุษมาทำโพธิปัญญาให้เกิดขึ้น มาทำญาณปัญญาให้เกิดขึ้น สามารถแทงตลอด สัจจะความจริง ทำโพธิปัก สติปัฏฐานสี่ อิทธิบาทสี่ อินทรีย์ห้า พละห้า โพชฌงค์เจ็ด อริยมรรคมีองค์แปด มาประชุมโพธิปักขยธรรมให้เกิดขึ้น ณ ที่ต้นไม้นี้ ต้นไม้นี้จึงเรียกว่า โพธิ เป็นที่ตรัสู้ของพระพุทธเจ้า

โพธิจึงมีสามความหมาย กล่าวคือ ความหมายแรก เป็นชื่อของต้นโพธิดังที่กล่าว เป็นที่ตรัสรู้ ความหมายที่สอง เป็นชื่อของมรรคญาณ เป็นชื่อของอริยมรรค อริยมรรคก็เรียกเป็นโพธิเช่นกัน เป็นปัญญา ตรัสรู้ โพธิก็คือปัญญา ตรัสรู้นั่นเอง ปัญญาที่ประหารกิเลสได้ ปัญญาที่ประหาร โลภะ โมหะ โทสะ ได้ เรียกว่าโพธิปัญญา เป็นมรรคญานทั้งสี่ มีโสดาปฏิมรรค เป็นต้น ประการที่สาม เป็นชื่อของสัพพัญญุตญาน ปัญญาที่สามารถแทงตลอดทะลุทะลวง ทั้งอดีต อนาคต ปัจจุบัน ภายใน ภายนอก หยาบ ละเอียด เลว ประณีต ไกลและใกล้ เป็นต้น ฉะนั้นเวลาที่เราไปที่ต้นพระศรีมหาโพธินี้ เราก็ไปนึกถึงโพธิ ปัญญา ตรัสรู้ พอไปกราบ ไปนมัสการ ไปบูชาแล้ว ก็ให้ตั้งใจบอกว่า ที่ตรงนี้เป็นที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เป็นที่ดับกิเลส และกองทุกข์ ข้าพเจ้ามาไหว้สถานที่ตรงนี้ ข้าพเจ้ามาสมาทานอย่างมั่นคง สักวันหนึ่งข้าพเจ้าจะกระทำ โพธิปัญญา เครื่องตรัสรู้ ให้เกิดขึ้นในตนให้ได้ ข้าพเจ้าจะผันตัวเองจาก ปุถุชน เป็นพุทธะอย่างพระพุทธเจ้า

ในกาลิงคโพธิชาดกกล่าวไว้ว่า ได้มีการนำเมล็ดโพธิ์จากต้นพระศรีมหาโพธิ์ ไปปลูกที่วัดเชตวันมหาวิหารในเมืองสาวัตถี เป็นการเริ่มต้นขยายพันธ์ต้นโพธิ์ไปปลุกที่ต่างๆของโลก ต่อมาในคัมภีร์มหาวงศ์กล่าวว่า พระเจ้าอโศกมหาราชเสด็จมาที่นี่เป็นนิตย์ เพราะระยะทางใกล้กับราชธานี ปาฏลีบุตรของพระองค์ ทรงเป็นผู้ตอนกิ่งโพธิ์ไปที่เมืองอนุราชปุระในลังกา กิ่งโพธิ์ต้นนั้นยังมีชีวิตอยู่จนทุกวันนี้ และพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้มอบหมายให้พระอาจารย์สาย นำคณะไปขอเมล็ดโพธิ์เพื่อนำมาปลูกที่ประเทศไทย พระองค์ทรงเพาะเอง แล้วนำไปปลูกที่วัดสระเกศ 1 ต้น วัดบวรนิเวศ 1 ต้น วัดมหาธาตุ 1 ต้น

ปัจจุบันนี้ ต้นโพธิ์ มีความสำคัญยิ่งต่อจิตใจของชาวพุทธทั่วโลก เพราะเปรียบเหมือนตัวแทนของพระบรมศาสดา ชาวพุทธเมื่อได้ก้มกราบมนสิการต้นโพธิ์ ที่เขตพุทธสถานทั้งหลาย ต่างก็อิ่มเอมเปรมใจ เพราะต่างตระหนักว่า พระพุทธองค์ทรงประทับอยู่ใกล้ๆ และน้อมใจให้รำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณต่อชาวโลก โดยมีต้นโพธิ์เป็นสัญลักษณ์ของพระองค์สืบไป